วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การก้าวสู่การทำงานจริง

ตอนนี้ผมได้เริ่มงานในสายงานที่ใกล้เคียงกับที่เรียนมาจริงๆสักที (หลังผิดหวังกับการทำงานหลังจบปริญญาตรี แต่ความจริงมันก็เป็นสิ่งทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้) ที่ผมจะกล่าวคือ บางครั่งสิ่งที่เราเรียนมา เคยรู้มาอาจจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันใช้งานอย่างไร เหมือนที่ผมได้ทำงานเป้น BI Consultant แต่ต้องมาเริ่มพื้นฐานใหม่หลายส่วนเหมือนกัน เช่น Datawarehouse หรือ SOA

โดยสองเทคโนโลยีนี้ ตอนแรกมันเหมือนเป้นหัวข้อที่แทรกมาในการเรียน อีกทั้งต่อนข้างยากโดย เฉพาะ SOA ทำให้ผมไม่สนใจ แต่ผมทำงานจริงดันได้เจอและต้องทำงานร่วมกับมันด้วย ทำให้ผมต้องเริ่มศึกษาใหม่อีกครั้ง

มานั่งดูเสร็จผมเรียนรู้แบบกลับหัวตลอดเลยนี้หว่า มันต้องเรียนย้อยกลับ น่าจะเป็น Database Datawarehouse BI แต่ก็นะ พร้อมเรียนเสมอครับ

คาดหวังว่าคงได้เรียนรู้และเข้าใจมันได้ในเร็วๆ นี้นะครับ ติดตามชมได้จาก http://gkengitm.blogspot.com/ ได้นะครับ

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การโกหก

ในชีวิตผมเจอคนขี้โม้มาเยอะ แต่ประเภทที่น่ากลัวคือเรื่องที่พูดนั้น เค้าคิดว่าเป็นเรื่องจริง เช่นบางคนบอกไปนอก ประวัติการทำงานซุปเปอร์สุดยอด แต่พอแอบไปอ่าน Resume กับได้ทำงานธรรมดาเหลือเกิน แล้วก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองได้ทำงานอย่างนั้นใน Resume ตัวเองเลย

พวกผมก็เคยนั่งจับโกหกคนประเภทนี้อยู่ แต่ที่น่ากลัวจริงๆ คือ มีคนพรรคนี้อยู่ในเยอะมากในสังคมยอมรับว่าหลังจบมหาวิทยาลัยแล้วก็เจอคนแบบนี้เยอะจริงๆ แต่ที่สำคัญคือ เราจะจับเท็จได้เมื่อไรนั้นเอง

วันนี้ก็อ่านๆ แล้วเจอบทความที่พูดเกี่ยวกับการโกหก ของดาราคนหนึ่ง แต่เป้นข่าวแนววิชาการ เลยขออนุญาตมาใช้อธิบายจำแนกประเภทการโกหกหน่อย ซึ่งอธิบายได้น่าสนใจทีเดียว



การโกหกของคนมีหลายประเภท

ประเภทแรก
มักจะเริ่มตั้งแต่เด็ก และการโกหกครั้งแรกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เด็กจะคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่และกลัวถูกทำโทษ ยกตัวอย่าง เขาอาจทำข้าวของเสียหาย ทำกระจกแตก แต่กลัวถูกทำโทษ ก็เลยโกหกว่าไม่ได้ทำ ส่วนใหญ่จะเริ่มโกหกพ่อแม่ หรือคนที่มีอำนาจในการลงโทษเขาได้ ถ้าการโกหกในครั้งแรกๆ ได้รับการแก้ไขแต่เนิ่นๆ ผู้ใหญ่รู้เท่าทัน และสอนให้เขารู้ว่าการโกหกเป็นเรื่องไม่ดี ถ้าลูกพูดความจริงลูกอาจไม่ถูกทำโทษ แต่ถ้าโกหกต้องถูกลงโทษ และพ่อแม่ต้องจริงจังตั้งแต่เล็ก ขอให้ลูกยอมรับความจริง เขาก็จะได้รับการปลูกฝังว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ดี แต่ถ้าเขาพูดความจริง ก็จะทำให้ทุกอย่างแก้ไขได้ แต่ถ้าในระดับนี้ เขาสามารถโกหก โดยที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนหรือปล่อยผ่าน เขาก็จะเรียนรู้ว่าการโกหกก็ไม่มีผลอะไร เขาก็จะทำต่อไปจนติดเป็นนิสัย

ประเภทที่สอง
การโกหกในระดับที่เพิ่มขึ้น คือการโกหกโดยโยนความผิดให้คนอื่น อาจจะด้วยความที่กลัวความผิด หรือไม่ก็เกิดจากความไม่พอใจคนอื่น และมีการโกหกว่าผู้อื่นเป็นคนทำ เป็นการใส่ร้าย ประเภทนี้อาจเริ่มตั้งแต่เล็กก็ได้เช่นกัน ถ้าผู้ใหญ่รู้เท่าทัน และสามารถเข้าไปจัดการปัญหาตั้งแต่แรก และทำโทษเด็กที่มีพฤติกรรมแบบนี้ พร้อมทั้งอบรมสั่งสอนด้วยว่า ทำพฤติกรรมแบบนี้ไม่ดีอย่างไร แล้วผู้อื่นที่ถูกใส่ร้ายจะได้รับผลกระทบอย่างไร ส่งผลให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนด้วย
หรืออาจจะสอนว่าเมื่อหนูยังเป็นเด็ก หนูทำแบบนี้ อาจจะมีคนให้อภัยได้ แต่ถ้าหนูโตเป็นผู้ใหญ่ อาจจะต้องถึงขั้นถูกดำเนินคดีความก็ได้

ประเภทที่สาม
โกหกโดยการสร้างเรื่องเพื่อลบปมด้อยบางอย่างของตนเอง เป็นการโกหกเพราะคิดว่าถ้าโกหกแล้วทำให้ตัวเองได้รับการยอมรับมากขึ้น มีผู้คนสนใจตัวเองมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ คนประเภทนี้ก็มักจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่คนรอบข้างจะมองเห็นและจับพฤติกรรมเหล่านี้ได้ไม่ยาก เพราะการแสดงออกต่างๆ ของเขา จะสะท้อนออกมาเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ ท้ายสุด เพื่อนๆ คนรอบข้างก็จะตีตัวออกห่างไปเองโดยปริยาย เพราะรับไม่ได้ที่เขาชอบโกหก
ถ้าพ่อแม่สังเกตว่าลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ตั้งแต่เล็ก ก็ต้องปรับพฤติกรรม ให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในตัวเอง อย่าพูดถึงปมด้อย หรือล้อเลียนในเรื่องที่เขาเป็นปัญหา และสอนให้เขารู้ว่าทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม คนเรามีปมเด่นปมด้อยกันทุกคน แต่การจะอยู่ร่วมในสังคมต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ และมีความจริงใจให้ผู้อื่นด้วย

ประเภทที่สี่
โกหกจนเป็นนิสัย ประเภทนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อโกหกแล้วรู้สึกดี และการโกหกประเภทนี้มักจะขยายวงเป็นอยากมีอยากได้ของคนอื่น และนำไปสู่การคดโกง และก่อเหตุไม่ดี ซึ่งท้ายสุดมักจะจบลงด้วยการติดคุกติตาราง

ประเภทที่ห้า
เป็นประเภทที่ดิฉันสนใจเป็นพิเศษ จนเข้าข่ายและมักถูกประณามว่าเป็นคนลวงโลก เพราะนับวันจะมีผู้คนประเภทนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มคนประเภทนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่น่าจะมีปัญหาทางด้านสภาพจิตร่วมด้วย กลุ่มคนประเภทนี้มีปมด้อยเช่นกัน

บทความจาก คุณ สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน จาก http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000142484

ผมเคยเจอประเภทที่ 3 จนกลายเป็นประเภทที่ 5 มาแล้ว น่ากลัวมาก เพื่อนที่มารู้จักกันตอนโต มันเตือนสั่งสอนกันยาก จนบางครั้งเราต้องปล่อยๆ หรือทำว่าแกเป็นอากาศไปเลย แม้ทางจิตวิทยาจะมองว่ามันผิด แต่ใครจะช่วยเค้าละครับ

ขอให้พวกเราระวังเรื่องใกล้ตัวด้วยนะครับ ทุกสิ่งอาจเป้นคำลวง

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ช่วงนี้เบรกการเขียนโปรแกรม มาสักพัก หลังเขียนไม่สำเร็จใน วันที่ 14
ก็ทำสำเร็จมาขั้น 1 แต่ยังมี Bug อยู่ การตรวจสอบไม่ดี
ต้องมาไล่ขั้นตอนตรวจ และสร้างตัวทำเงือนไขทั้งหลาย ก็ดีขึ้น

ที่ได้ คือ พวก Call stack และ Debug ไล่การทำงานได้ระดับนึง ดีด้วย ทำให้เขียนถูกมากชึ้น ไม่ต้องใช้หัวอย่างเดียว

แต่ช่วงนี้กำลังพยายาม ลง SP IDSE 4.7 อยู่ ไม่สำเร็จสักที

โดยได้ DVD มา3แ่ผ่น แต่วิธีลงทำไม่ละเอียดมาก แถมที่ทำเป้นวิดีโอ ดันเป้นภาษาจีน อีก และ DB คนละ Version

ตอนนี้ก็เลยลง window server คล่องเลย 4 รอบละเดียวว่าจะลองมาทำบันทึกประจำวันดู

ช่วงนี้หางาน ไม่มีใครเรียกเลย นั่งรอกันไป

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรียนเขียนโปรแกรม C# บันทึกประจำวัน 4

ผ่านไป อีกวัน

ปัญหาเริ่มเกิดจากการที่เราออกแบบไม่ดี

ค่าตัวแปน int ไม่ได้ ต้องเป็น float เพราะต้องรับค่าทศนิยมได้ด้วย
ตอนนี้+ - * / = ได้แล้ว แต่ดันทำได้ทีละเครื่องหมาย ต้องกลับมาแก้ การรับค่าโดยประกาศ input เพิ่ม
ทำไปทำมา จะแก้เป็น code ที่บิ้กโอ ใหญ่ละ เซ็งเลย

ต้องนี้ยังไมได้อ่านเรื่อง การสร้างและใช้class ความรู้ที่มี ก็เขียนโปรแกรมได้ละ แต่จะให้ดี ต้องศึกษามากกว่านี้เพื่อความสะดวกในการเขียน

เรียนเขียนโปรแกรม C# บันทึกประจำวัน 3

อู้ไป2-3วัน เนื่องจากติดสาวโชว์กล้อง กับเล่นเกมหนัก

ตอนแรกว่าจะศึกษาเรื่อง function มาใช้ แต่อ่านไปนิดเดียว ก็ยังไม่น่าจะมาใช้ได้ แต่อีกพักคงต้องสร้าง

คราวนี้เลยกลับมาที่ เรื่อง = สุดท้ายเลยใช้ if esls เป็นตัวควบคุม แต่ต้องทำพวกคัวแปรให้เยอะขึ้น ก็แต่โอเค คือ ทำได้ละ x+x= คำตอบ

คราวนี้มาต่อเรื่อง * กับ / ตอนนี้ยังทำ x*x* ได้อยู่
แต่ยังทำ = ไมได้

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรียนเขียนโปรแกรม C# บันทึกประจำวัน 2

กำหนดส่งนั้นหรือ อีก 16 วัน
สำหรับโปรเจค C#
แต่วันแรกผ่านไปเราทำได้ประมาณ 70 % ละของเครื่องคิดเลขแล้ว

จัด GUI(วันแรกเลย), รับค่าตัวเลข , ค่า memory , + - * แต่ / ยังไมได้ รวมทั้งการใช้ เท่ากัน ก็ยังไม่ได้

ซึ่งการดูๆ เครื่องคิดเลขนั้น มีหลักการทำงาน อยู่ 4 ส่วน

1.หน้าจอแสดงค่าตัวเลข ซึ่งหน้าทีคือรับค่ามา แสดงออกไป Output
2.ปุ่มรับค่าตัวเลข หน้าที่คือเป็น Input
3.ปุ่มรับค่า เครื่องหมายต่างๆ แสดงเครื่องหมายเพื่อทำงานถ้า คณิตศาสตร์
4.ส่วนเก็บค่า M ทั้งหลาย เก็บ Output ที่เรา ต้องการ

โดยเริ่มจากการตั้งค่า int 3 ตัว มีค่าแรก,ค่าสอง,ค่าความจำ
ซึ่ง ค่าแรกไว้กระทำการทางคณิตศาสตร์กับค่าสอง
ส่วนค่าความจำ ไว้เก็บพวก M ทั้งหลาย

อีกค่าก็คือการประกาศค่า String ไว้แสดงค่าที่ Textbox เพราะมันไม่รับค่า int

ซึ่งการอัดค่าจากปุ่มลงไปผมเขียนรอบแรก คือ บังคับค่า A= 1; แล้วแปลงค่า A เป็น String แล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาในการแสดง แต่ปัญหาอยู่ที่ เวลาใส่ค่า มันจะแสดงแค่ ค่าเดียว เช่นจะต้องการค่า 139 พอกด จะเป้น 1, 3, 9 ซึ่งมันไม่ใช่

พอเลยได้คิดวิธีว่า ให้เป็นค่า (10*A) + x โดย x เป็นค่าแต่ละปุ่ม มันจะเพิ่มไปเรื่อยๆ คราวนี้เราก็ได้ค่า 139 อย่างใจแล้ว

แต่พอไปเล่าวิธีนี้ให้พี่ไฮต์ ฟัง แกบอกว่าทำได้หลายวิธี แปลว่า ฉันคิดวิธียากเกินมาหรือเนี่ย ดีนะตอนแรกกะใช้ If else ไปเรื่อยๆ คงนู้ปหนักไปใหญ่

แต่อย่างนี้ก็หมดปัญหาไปเรื่องละ เดียวได้วิธีมา จะมาดูหน่อยว่าทำไง

ส่วนต่อมาคือ ค่า Memo ทั้งหลาย อันนี้ไม่ยากนัก แค่ประกาศค่า เพิ่ม มารับค่าที่ต้องการเก็บไว้แค่นั้น

เหลือแต่ พวก + - * / =

ซึ่งปัญหาที่ติดคือ
+ ได้ แต่กด = ไม่ได้กลายเป็นต้องกดดังนี้

5+6+=

คิดว่าคงมีปัญหาอะไรบ้าง เพราะตอนนี้ตัวแปรเก็บได้ที่ละค่า ถ้าจะกด = ได้ ต้องเก็บ ได้อย่างน้อย 2 ค่า แต่รวมๆ + - * ผ่าน

เหลือ /, 1/x ที่ยังทำไม่ได้

แต่นึกออกคือ ต้องใช้พวก Function (int1,int2) คุยๆ แล้วแว่บขึ้นมาว่าเคยอ่านผ่านๆ

สรุป
ต้องไปอ่านเรื่องการสร้าง Class หรือ Function มาทำงาน

และความรู้ที่ได้วันนี้ คือ

การใช้คำสั่งของ ปุ่ม ใน window App
การใช้ if else อ่านไม่ถึงสักที เลยได้ใช้ก่อน แถมรอบแรกๆใช้ผิดอีก
นั้นละครับ

ถ้าไม่มีไรพลาด อีก 2 วันน่าจะเสร็จ แล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ
ต่อมา คือ การใส่ Input ซึ่งตอนแรก

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรียนเขียนโปรแกรม C# บันทึกประจำวัน 1

เรื่องก็เริ่มจากมีพี่เก่ง บวกทั้งเราอยากเขียนโปรแกรมเป็นมาละ บังเอิญไปถามๆๆๆๆๆ พี่เค้าก็ตอบมาอย่างนี้ เก่งมาก เรียนหมอ ดันเก่งโปรแกรมมิ่งขั้นเทพ

เลยถามๆว่า มีโปรเจคไรให้ลองเล่นไหม ได้มาเลย กำหนดส่ง 2 สัปดาห์

ได้ทำ เครื่องคิดเลข

เราเริ่มทำโดย เปิด project Windowapp

ลาก Textbox
ลากปุ่ม
ปรับขนาด
ปรับสี
เขียนปุ่ม โดยเขียนชื่อบนภาพ
เปลี่ยนชื่อปุ่ม เพื่อความง่ายในการจำ ไม่งั้นจะเป้น button 1,button 2,button 3,.........button x

โดยการลากปุ่ม ต้องทำโดย copy paset ซึ่งให้ดี ควรปรับๆๆๆ ไรให้เรียบร้อยก่อน ไม่งั้นต้องกลับมาปรับทีละอัน ช้า ครับ

มีไรเดี่ยวมาเล่าต่อวันหลังนะครับ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

Chaophraya the river of life


The main river for Thailand is Chaophraya , Chaophraya begin at Nakhonsawan province and flows centel regon Thailand untill flow out Thai gulf, We had use river along time ago.

Chaophraya river origin from 4 river, Ping, Wan, Yom, Nan it flow to one at Tambol Paknampho in Nakhonsawan province


Along time ago,It had many culture beteew at 2 side river, Ayutthaya, It use transport,travel, liveing,commer and military, but today war from Chaophraya river it have not war.

Today the Chaophraya river in Bangkok have people use it to transport,travel, liveing,commer that It make life for Bangkok.

And beteew have more importance place and culture place about history Thailland Oppositeit have modern place in Thailland.

If you come to Thailand ,you should tour around Chaophaya river.

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เขียนภาษาอังกฤษครั้งที่ 3

งวดนี้ผิดเรื่องการใช้คำศัพท์เล็กน้อย บางครั้งการหาคำศัพท์ที่เหมาะสม นั้นก็สำคัญ ยังต้องพัฒนาต่อ

----------------------------------------

I had some plan about to photo around Bangkok But this month had rain everyday, so I temporary break my photo plan untill rain season partaway.

So today, I write articel about weather and season in thailand.

The Weather and Season in Thailand

Thailand locations is near aclinic line so it do Thailand to hot country (tropical climate), Temperature.rage around year is average 20-30 C .

In Thailand have season 2-3 type
Summer season period February-April
Rainy season period May-October
Winter season period November – January

In Bangkok have a joke in Thailand, He say Bangkok have 2 temperature is hot and very hot, in Bangkok chance to temperature below 22 C is difficult, One year have around a few week.

However, Thailand have many geography so south region of Thailand have 2 season

Summer season period May-September
Rainy season period November-April
Because of the south region of Thailand between sea, Thai gulf and Andaman sea, so rain almost year.The Last, if you want come to Thailand for sunbathe or bask on the beach, please don't come in rainy season, becuase you can not see any sunshine but you can see nimbus or blackcloud .


Have a nice day

การเรียนวิชา Admin และ Linux

ช่วงนี้ ก็นั้งทำไรไปเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้เพื่อทบทวนคือ วิชา System Admin ที่เคยเชียวชาญเมื่อนานมาแล้ว วิชานี้เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบต่างๆ เช่น Webhost server ต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติสุข ไม่ให้มีคนมาด่า ว่าระบบล่มบ่อยจัง

วิชาที่เรียน เลือกใช้ Linux ของ Feroda นั้นเอง ซึ่งใครอย่างเล่นเป็น ก็ให้ลองนำแนวคิดนี้ไปฝึกเล่นดู

คือ ใช้ VMware เพื่อได้ลง Linux ได้ และจากนั้น ก็ ทดสอบระบบต่างๆ เล่นไปเรื่อยๆ รับรองเดียวก็เป็นครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เขียนครั้งที่ 2 ส่วนผิดที่เป็นวลี น่าเป็นประโยคมากกว่า

บทความนี้ เขียนพวกเกี่ยวกับประเทศไทยว่าลักษณะภูมิประเทศ การแบ่งภาค แต่ส่วนใหญ่ จะคัดลอกมาจาก wiki แต่ผมนำมาแต่งเสริมให้ดูเป็น บทความไม่เป็นทางการเกินไป

โดยสิ่งที่ไ้ด้จากการเขียนผิดพลาดครั้งนี้คือ การเขียนประโยคกับวลี

สิ่งที่แก้คือThailand suddivisiton ตรงนี้เป็นวลี ความหมายคือ การแบ่งประเทศ

แม้ไม่ผิด แต่วลีส่วนนี้ควรเป็นประโยค

ควรทำให้เป็นประโยค โดยเปลี่ยน N เป็น V ซะ suddivisiton เป็น is subdivided

ซึ่งเป็น Thailand is subdivided by region or geographic ความหมายคือ ประเทศไทยถูกแบ่งโดยทางภูมิภาคหรือภูมิศาสตร์

----------------------------------------------
Where is Thailand in the world. Thailand is local at southeastAsia, have surface area of approximately 513,000 km2 (198,000 sq mi).

ฺBorder north is Laos and Burma, to the east by Laos and Cambodia, to the south by the Gulf of Thailand and Malaysia, and to the west by the Andaman Sea and Burma.

The capital of Thailand is Bangkok but thai people call it "Krung Thep".

But Krung thep is shortname, Formal name Krung Thep is "Krungthepmahanakhon Amonrattanakosin Mahintharayutthaya Mahadilokphop Noppharatratchathaniburirom Udomratchaniwetmahasathan Amonphimanawatansathit Sakkathattiyawitsanukamprasit"
, and nobody call it in lifetime.

If you is foreigner when you come to Thailand You say "Bangkok" everybody (may be) can understand but Thaipeople say"Krung Thep" more.

Thailand suddivisiton by region or geographic
  1. Central
  2. North
  3. South
  4. East
  5. West
  6. NorthEast
Many region is sourec of diffreent Place ,Food ,Culture it make Thailand very interesting. I will told next article

Frist writing หัดเรียนภาษาอังกฤษ

ตอนนี้ผมอายุ จะ 28 ปี อีก 3 วันข้างหน้า เร็วไว อย่างกับโกหก ตอนนี้สิ่งทีอย่างเรียนและหัดทำให้ได้ีดีอีกอย่างคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ ด้านการเขียน

ด้วยความอยากทำมาก อยากลองเขียนภาษาอังกฤษให้ได้ เลยเปิด Blog อีกอันไว้สำหรับให้เขียนภาษาอังกฤษ เลยเลือกเขียนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ ประเทศไทย

และให้เพื่อน ซ้ง เป็นคนตรวจให้ และแนะนำว่าทำไมต้องเขียนอย่างนี้ ผมจึงเริ่มเขียนและให้เพื่อนซ้งตรวจด้วย เป็นที่มาของบทความชุดนี้ "การเขียนภาษาอังกฤษ"

โดยผมจะย้ายบทความฉบับก่อนตรวจมาไว้ที่นี้ เพื่อใ้ห้ blog นั้น เป็นระเบียบมากกว่านี้ เริ่มด้วยบทความแรก

-----------------------------------------------------------------
บทความนี้ผมต้องการบอกว่า ผมจะหัดเขียน ภาษาอังกฤษและจะรีบพัฒนาฝืมือ โดยบทความที่เขียนเกี่ยวกับ ประเทศไทย อาหารที่ท่องเที่ยว และอื่นๆ เพื่อให้มีข้อมูลด้านอื่นๆบ้าง

  1. Hi my name Keng.
  2. This is Frist writing in my life write by English.
  3. I am Thai and I never speak talk write english in lifetime.
  4. I know I think man come to read in my blog will groggy.
  5. I will develop my skill a english write as soon as.
  6. The object a blog is tell some story about Thailand.
  7. I need to tell something about Thai culture ,travel place, food ,story about thailand, etc by Thai people

I hope you had receive information in Thailand

โดยส่วนที่แก้มี เรียบร้อย ไปอ่านได้ที่ travel-and-thailandstory.blogspot.com นะครับ

ส่วนสิ่งที่โดนแก้ อย่างแรกคือ คำศัพท์บ้างคำ จาก ประโยค 2 คำว่า writing โดนเปลียนให้เป้น articel ซึ่งเป็นคำว่าบทความชัดเจนกว่า

หลักประโยคหรือ แกรมม่าที่โดนแก้ ก็เช่น ในประโยค 2 "my life write by English." โดนแก้เป็น " in my life written by English."
สาเหตุทีแก้จาก write เป็น written เพราะมันเป็นประโยค Passive คือโดนกระทำ แล้วให้เปลี่ยน V1 เป็น V3
นอกนั้นก็ทำให้ประโยคมันกระชับขึ้น

จบการเขียนครั้งแรก

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อ่านหนังสือแล้วสอบไม่ผ่าน

วันนี้มาบ่นๆ นิดหน่อย ในการสอบจบปริญญาโท รอบแรก อ่านหนังสือ 5 วิขา แล้วเลือก 4 วิชา สอบภายใน 3 ชั่วโมง เขียนกันเหนื่อยมาก ดันมีปัญหาเขียนข้อสอบไม่ทัน เห้อ

แต่แม้จะเขียนทัน ก็ ใช่ว่าจะผ่าน เพราะที่เขียนนั้น ก็ใช่ว่าจะถูก

เลยต้องเริ่มอ่านหนังสืออีก 2 เดือน

แต่รุ้สึกว่า เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ต้องอ่านหนังสือมากขนาดนี้

เมื่อก่อนเคยอ่านหนังสือ แบบเยอะที่สุด ก็ 1 วิชาประมาณ 17 บท เท่านั้น

แต่งวดนี้ วิชาละประมาณ 10 บท 5 วิชา เหนื่อยเลย แถมจำลำบากอีก แรกๆ ทำไง ก็ไม่จำ

แต่ละวิขาแม้่ ไม่ยาก ถ้าเทียบกัน ตอนสอบวิขาอื่นๆ เพราะ เราอาจสอบกัน ทีละวิชาแถม หลายวันด้วย พอรวบทุกอย่างมาสอบวันเดียวทำให้เราอ่าน จำลำบาก

คราวหน้าสิ่งที่ต้องทำ คือ อ่านหนังสือให้เต็มที แล้ว จำให้ได้ เขียนให้ได้มากกว่านี้ มีเวลาอีก 2 เดือน สู้ต่อไป

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การถ่ายทอดวิชายุคคอมพิวเตอร์ กับ ยุคหนังกำลังภายใน

ปัจจุบันคอมพิวเตอร์และโลกอินเตอร์เน็ทเกือบเป็นของสามัญประจำบ้านไปแล้ว เพื่อนของผม 2 คน ยัายไปหอที่ใกล้ที่ทำงานและใกล้โรงเรียน แล้วบอกว่าหอใหม่มันไม่มีอินเตอร์ทั้งคู่ ซึ่งผมก็ถามเลยว่า หอใหม่อยู่ส่วนไหนของประเทศ รวมถึงปฎิกิริยาของเพื่อนผมก็บอกว่า "แล้วกูจะอยู่อย่างไร" blogเพื่อนผมทำขนมปัง

ซึ่งอาจเป็นเรื่องลำบากของคนใช้ชีวิตในโลกอินเตอร์เน็ท ซึ่งก็ลำบากมาก เพราะปัจจุบัน การคุยกันผ่านโทรศัพท์ยังน้อยลงมาก เพราะคุยกันใน msn ใช้โทรศัพท์เมื่อกำลังออก หรือ ถึงแล้วตามหาเพื่อน

มาถึงเรื่องการเรียนรู้ในปัจจุบันโลกอินเตอร์เน็ทกับคอมพิวเตอร์เรียนได้ว่าเป็นสื่อการเรียนหรือสื่อการสอนแบบใหม่ ที่ยิ่งกว่าห้องสมุดใหญ่ๆ ที่ไหนในโลกก็ตาม แม้ในบางครั้งผมว่าการเรียนแบบเก่าในห้องเรียนหรือการเรียนแบบสองทาง โดยการมีอาจารย์สอนให้แนะนำกันตัวๆ ย่อมดีกว่าเพราะเรามีโอกาสได้ถาม ได้ทำ ให้อาจารย์ดู แต่สื่อการเรียนแบบนี้ ก็ให้ความรู้ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งมากเหมือนกัน
แต่สำหรับพวกที่เข้าห้องเรียนแล้วไปนั้งเล่น หรือนั้งตัวแข็งไม่สนใจอาจารย์ สั่งให้ทำไรก็สักแต่ว่าทำๆ ไปให้มันผ่าน ให้ไม่โดนด่าเป็นพอ ผมว่ามาเรียนแบบทางเดียวก็ดีเหมือนกัน

ซึ่งเปรียบเทียบกับหนังจีนกำลังภายใน การเรียนแบบมีอาจารย์ ก็เหมือนเราเข้าสำนักแล้วมีอาจารย์ฝึกให้อย่างดีถ่ายทอดวิชาให้เต็มที เหมือนเรื่องมัีงกรหยกภาคแรก จอมยุทธ์ยิงอินทรีที่ อังชิกงสอนฝ่ามือ 18 มังกรให้ก๋วยเจ๋ง ถึงก๋วยเจ๋งจะไม่ฉลาดเพียงใด แต่ด้วยความเอาใจใส่ของอังชิกงและความตั้งใจกับความเพรียของก๋วยเจ๋ง ก็ทำให้สำเร็จได้

ส่วนอีกแบบคือพวกไม่มีอาจารย์ให้ทำตาม เหมือนโหลดวีดีโอใน Youtube มาดู แล้วทำตาม อันนี้ เหมือนกับเรื่องเดชคัมภีร์เทวดา ที่เหล้งฮู้ชงให้ไปฝึกวิชาบนเขาแล้วเจอถ้ำที่สลักกระบวนท่าของ 5 สำนัก รวมทั้งวิธีแก้กระบวนท่าเหล่านั้นด้วย เพียงจำภาพได้ทั้งหมด ก็สามารถทราบถึงวิธีทำลายกระบวนท่าทั้งหมด ถ้าคุณดูวิดีโอแล้วจำได้ก็สามารถทำได้

อีกพวก คืออ่านหนังสือ โหลดหนังสือมาอ่าน เหมือนในกระบี่่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกร ที่เตียบ่กี้ตกเขาแล้วไปเจอคัมภีร์เก้าสุริยะ ในตัวลิง แล้วอ่านนำมาฝึกตามก็สำเร็จวิชาได้

แม้ดูจะง่ายดายจากฝึกวิชาของพระเอก 3 เรื่อง แต่ความเป็นจริงบัดนี้ โลกเราสามารถเลือกฝึกวิชาแบบไหนก็ได้ เพราะ คอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ทนั้น ได้มีคัมภีร์สารพัดแบบไว้มากเหลือเกิน คุณอยากเป็น นักดนตรี โปรแกรมเมอร์ ศิลปิน ฯลฯ ก็แทบจะมีทุกอย่างไว้ในเราไปศึกษาอยู่แล้ว โดยเฉพาะแบบ เตียบ่อกี้ กับ เหล้งฮู้ชง ดังเช่น แฟนเก่าผม เธอเรียนทำขนมเค้กผ่านพันทิพย์แล้วตอนหลังก็สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้อีกด้วย แม้ระหว่างนั้นการฝึกของเธอจะทำให้เธอเสียน้ำตาบ้าง ทำผมแทบประสาทบ้างก็ตาม แต่ผมก็สนับสนุนให้เธอทำๆๆๆๆ และทำ ได้เก่งๆ (คิดว่าเธอต้องมีคุณสมบัติของก๋วยเจ๋งด้วยแต่ไม่มีอาจารย์เป็นตัวตน) อันนี้เป็นตัวอย่าง


แต่สิ่งที่ยากมากขึ้นคือ อังชิกง ที่อาจจะหายากขึ้น หรือ ความเพรียแบบก๋วยเจ๋ง ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างศิษย์กับอาจารย์อาจจะหายากขึ้น เพราะถ้าเรามั่วแต่อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ท ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคลจะลดลงไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ที่ดีต้องใช้เวลานะครับ การจะหาอาจารย์ดีๆ ในปัจจุบันก็เหมือนยากขึ้นด้วย ถ้าใครได้อาจารย์ที่มีหัวใจของผู้ให้ความรู้เต็มที่ ก็ขอให้ปฎิบัติกับท่านดีๆ เคารพนับถือให้เกรียติท่าด้วยนะครับ

แต่สุดท้าย ผมนึกถึงเรื่องหนังเรื่อง The Matrix วิธีการเรียนแบบเอาปลักเสียบหัวแล้ว load ข้อมูลแล้วมีความรู้เลย

ถึงยุคนั้นเมื่อไร อาจาย์พวกเรา ก็คงเป็น คอมพิวเตอร์อย่างสมบูรณ์แบบนั้นละครับ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทบทวนวิชาse Software engineering

ช่วงนี้เป็นระยะการอ่านหนังสือสอบ วิชารวมทุกวิชา เพื่อสอบจบปริญญาโท

วิชาที่อ่านวิชาแรกคือ SE หรือชื่อเต็มๆ ว่า Software engineering หรือภาษาไทยคือ วิศวกรรมซอฟแวร์ เป็นวิชาเกี่ยวข้องกับ การผลิตซอฟแวร์ออกมาอย่างไรให้ออกมามีประสิทธิภาพ เชื่อถือไ้ด้ ยอมรับได้ และสามารถบำรุงรักษาได้

โดยหลักๆ วิชานี้จะพูดเรื่องของ "กระบวนการ" เป็นหลัก โดยการวัดกระบวนนั้น ต้องมี "มาตรวัตร" เพื่อให้ทราบประสิทธิภาพของซอฟแวร์ที่ตนเองผลิตขึ้นมานั้น ผ่านกระบวนการที่ดี ก็สามารถทำให้คนอื่นมั่นใจได้ว่า ซอฟแวร์นั้นผ่านกระบวนการที่ดีมา

โดยมาตรฐานที่ใช้ ก็ เช่น CMMI เป็นต้น

แต่สิ่้งที่ได้เรียนนั้นมุ่งไปที่กระบวนการขั้นพื้นฐาน เช่น การออกแบบ การประกันคุณภาพซอฟแวร์ SQA การทดสอบระบบ การส่งมอบ เป็นต้น


สิ่งที่ได้เขียนในบทความนี้ เป็นส่วนเบื้องต้นที่สรุปมาจาก เอกสารประกอบเรียน

โดยจะมาเขียนลงรายละเอียดในบันทึกประจำวันการเรียนรู้ครั้งต่อ ๆ ไป

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Methodologies of project managment วิธีการแต่ละแบบของการจัดการโครงการ

หลังจากได้อ่านการทำงานของการจัดการโครงการ นอกจาก PMI แล้ว หนังสือเล่มอื่นๆ ก็พูดถึงเรื่อง วิธีการใช้การจัดการโครงการอื่นๆ ไม่ได้มีแค่ PMP อย่างเดียว ซึ่งอธิบายวิธีการอื่นๆ ไว้เล็กน้อยตามการเขียนด้านล่าง


PMBOK ย่อมาจาก Project Management Body of Knowledge โดย Project Management Institute (PMI) ได้ทำรายงานเสนอครั้งแรกเมื่อปี 1987


PRINCE2 ย่อจากPRojects IN Controlled Environments (Wideman,2002) เป็นมาตรฐานที่รัฐบาลอังกฤษใช้เพื่อจัดการงานโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยแบ่งหลักการเป็น 45 ขั้นย่อย 8 ขั้นใหญ่ โดยนำหลักการเรื่องของทางธุรกิจเข้ามาร่วมด้วย business case,plans, controls, management of risk, quality, configuration management, and changecontrol ซึ่งเป็นส่วนที่ PMBOK นั้นไม่มี


Project Management Process Maturity (PM2) อันนี้คล้าย CMMI ทั้งการจัดลำดับเป็น 5 ระดับเหมือนกัน เพราะเกิดที่เดียวกัน คือ Software Engineering Institute (SEI) ของมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon (Keyes,2009)


โดยทั้ง 3 วิธีการแต่ละแบบ นั้นก็มีข้อเด่นแต่ละแบบกันไป แต่โดยหลักผมคงจะศึกษาเรื่องของ PMBOK และคงศึกษาวิธีแบบแผนของตัวอื่นประกอบไปด้วย

---------------------------------------------

บทความของ PRINCE2 จาก wiki http://en.wikipedia.org/wiki/PRINCE2


บทความการเปรียบเทียบ PRINCE2 กับ PMBoK http://www.maxwideman.com/papers/comparing/comparing.pdf



หนังสืออ่านประกอบ

Leading IT Projects: The IT Manager's Guide http://www.amazon.ca/Leading-Projects-Managers-Jessica-Keyes/dp/1420070827

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเขียนลายไทย

ช่วงนี้แก้งาน IS รอบส่งบัณฑิตวิทยาลัยใกล้สำเร็จแล้ว แต่ก็ไม่ได้เร่งมากมาย การที่ไม่มีเรียนแล้วทำให้ชีวิตมันแปลกๆ ชอบกล

โดยเมื่่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10/07/52) ผมได้ไปหอศิลป์กรุงเทพ ที่อยู่ตรงข้ามกับมาบุญครอง ซึ่งกลายเป็นสถานที่ เมื่อผมคิดไรไม่ออก ก็จะไปบ่อยสุด ไปดูงานศิลปะบ้าง ดนตรีบ้าง โชว์ไรตามเทศกาลบ้างซึ่งเป้นสถานที่ที่ผมชอบมาก แม้งานยังมีไม่มากเท่าไร

แต่สิ่งที่ผมได้เรียน แล้วจะนำมาบันทึกใน ไดอารีการเรียนของผม คือ ห้องสมุดชั้นใต้ดินของหอศิลป์ เป้นสถานที่คนไม่แน่นหนามากเกินไป มีหนังสือศิลปะให้อ่านได้พอสมควร มีหนังสือสอนศิลปะหลายแขนง แต่ผมสนใจเล่มหนึ่งขึ้นมา

เป็นหนังสือสอนลายไทยฉบับสมบูรณ์ 1 ของอาจารย์เศรษฐมันตร์ กาญจนกุล
ซึ่งเมื่อผมได้อ่านก็จำได้ว่า ผมเขียนดูอาจารย์ออกรายการ สอนศิลป์ ของ Thaitbs ปีที่แล้ว เพราะจำวิธีการฝึกพื้นฐานการเขียนลายไทยได้

โดยการเขียนลายไทยนั้น ให้ฝึกเขียน

ตัวไหล 500 ตัว

ตัวบาก 500 ตัว

ให้ชำนาญก่อน ถึงจะฝึกเขียนอย่างอื่นได้สวยงาม ซึ่งผมก็เคยฝึกอยู่ แต่ไม่ค่อยสวยเท่าไร

แต่ในหนังสือเล่มนี้ ได้เขียนอธิบายรายละเอียดลายไทยไว้มากเหมือนกัน

ซึ่งที่ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากหนังสือเล่มนี้คือ

การแบ่งการเรียนลายไทย
1.กนก คือ พวกลายต่างๆ
2.นารี คือ การเขียนคนทุกแบบ
3.กระบี่ คือ การเขียนลิง ยักษ์
4.คชะ คือ เขียนช้าง รวมถึงสัตว์อื่นๆ

ซึ่งผมก็ได้ฝึกวาดลงกระดาษที่เตรียมไปเอง ในห้องสมุดนั้นละครับ ไม่ได้ไปไหนเลย วาดแต่ ไหล กับ บาก

ผมจำได้ว่า พี่โอ ผมเคยบอกว่าตอนเรียน ศิลปะไทย นั้นให้ไปที่พิพิธพันธ์สถานแห่งชาติ ตรงสนามหลวงติดใกล้กับธรรมศาสตร์ แล้ว ให้ไปวาดให้หมดทุกห้อง ได้เรียน ศิลปะไทย และ ประวัติศาสตร์ศิลปไทย ด้วย

ซึ่งมาดูหนังสือ ชุดลายไทย ก็ ทำให้เข้าใจได้ว่า พวกลายกนก ทั้งหลายนำมาประยุกต์ให้เป้น เครื่องใช้ รถลากในงานราชพิธี ด้วนนั้นเอง

การเรียนในวันนี้ขอจบเพียงแค่นี้ก่อน แล้วเมื่อผมไปเพิ่มเติมความรู้อะไรมาแล้วจะมาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คุณสมบัติของ Project manager ในอุดมคติ

หลังจากที่ได้ศึกษา การจัดการโครงการของ PMI แล้ว คนที่สำคัญในการบริหารโครงการ (Project management) ที่ชัดเจนคือ ผู้จัดการโครงการ (Project manager) ซึ่งใช้ทักษะ ความรู้ เครื่องมือและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อทำงานโครงการ (Project) ให้สำเร็จ

โดย Guide PM ให้ความเห็นว่า ผู้จัดการโครงการต้องมีทักษะเหล่านี้

PMBOK
มาตราฐานและกฏหมายที่เกี่ยวข้อง
ความสามารถผู้จัดการทั่วไป
การสือสาร
สภาพแวดล้อมโครงการ

กลับมาซ้อมเปียโน

หลังจากการเรียนปริญญาโทได้ผ่านไป เหลือช่วงที่สอบจบ

ผมก็ได้ย้ายอุปกรณ์ดนตรี คือ เปียโน มาไว้ในห้องนอน ซึ่ง มันไม่ได้ถูกจับมาเกือบปี มันก็ได้รับไฟ เปิดมายังมีเสียงอยู่ มีติดบ้างดับบ้าง แต่อาการก็ไม่หนักไปกว่าช่วงก่อนที่ผมจะหยุดเล่นไป


กลับมา ผม ก็ปัดเพลง หนังสือเพลง ตำราเพลงเก่าๆ ขึ้นมา ซึ่งมีทั้ง hanon, อัฟเฟรด, จอน ทอมสััน และ แบบฝึกหัด ของ ครูแก้มยุ้ย มาใช้

วันแรก ทั้งกับ อึ้ง ว่าทำไม ดีดเปียโน ไม่เป็นเลย แบบฝึกหัด ง่ายๆ ก็ไม่ได้ เห้อๆๆๆ ตอนแรก คิดว่าต้องขายเปียโนทิ้งแล้ว

วันที่ 2 นำ อัลเฟรด มาเล่น ก็ เริ่มได้บ้างละ และเอา แบบฝึกหัด ที่ครูยุ้ย เคยเขียนไว้กับมือ มาทดสอบ ก็ เริ่มได้บ้างละ

ส่วนวันที่ 3 วันนี้ให้เพื่อนมาช่วยจัดห้อง แล้วผมก็เล่นเพลงแบบกดคอร์ส อย่างเดียวให้ฟัง อย่างน้อย ก็ รู้สึกยังไม่ลืมการจำคอร์สแบบพื้นฐาน บอกเพื่อนว่า เนี่ย เพิ่งกลับมาดีดเปียโน เพือนยังว่า ดี อย่างน้อยก็เหมือนเข้าเลือดไปบ้างละ

สุดท้ายก็เหมือนต้องเริ่มฝึกเกือบใหม่หมดนั้นละ

เป็นตัวอย่างไม่ดี สำหรับการไม่ฝึกฝนทำให้ชำนาญนะครับ
ไม่ใช่แค่เปียโนเท่านั้น

ทุกอย่างที่ใช้ความชำนาญก็ควรได้รับการฝึกฝนเสมอนะครับ

ส่วนวันนี้ผมขอ ไปฝึกฝนต่อ ก็นะครับ


----------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนนี้ระหว่างการหาข้อมูลการซ้อมเปียโน

เว็บนี้เรื่อง Hanon
http://forum.piano-lovers.net/index.php?topic=1849.0

เว็บนี้เป็นไดอารี่การเรียนเปียโน
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jenniepoko&group=8

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เริ่มเรียน Project Management

วันนี้เได้เริ่มเปิดสิ่งที่ต้องการอยากเรียนอยากศึกษาด้วยตัวเอง โดยวิชาที่ลองทำเป็นบันทึกประจำวันคือ การบริหารโครงการ หรือ Project Management

โดยแหล่งข้อมูลหรือผู้สร้างแนวคิด PMP ก็จากที่PMI www.pmi.org




หนังสือที่ใช้ศึกษา ก็ตอนนี้มีปี 2008 ออกมาแล้ว แต่ผมยังหาไม่ได้ หนังสืออัพเดท ทุก 4 ปี ไปสั่งซื้อได้ที่ AMAZON amazon

ส่วน E-learning ที่ดีเป็นของ VTC

และให้ครั้งต่อไป ผมจะเริ่มมาเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ นะครับ

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บทความเริ่มต้น

การเรียนกับผม อาจเป็นเรื่องที่มาคู่กันตลอดใน 5-6ปี เรียนรู้มาหลายแห่ง ไม่ว่าจาก คณะเศณษฐศาตร์ กรมบัญชีกลาง ลาดกระบัง ตงเมียน องค์การโทรศัพท์ เปียโน ร้องเพลง และล่าสุด ก็ คณะวิทย์ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ทุกที่ ให้ความรู้จากการเรียน การทำงาน และอื่นๆ หลายเรื่อง แต่สิ่งที่ผมไม่เคยทำไว้ ก็คือ การจดบันทึก เพื่อนำมาทบทวน อย่างตอนนี้ผมก็ลืมไปหมดแล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐนั้นมีอะไรบ้าง หรือ การวอร์มเสียงก่อนร้องเพลง รวมถึงความสามรถในการร้องเพลง 2 ทุ่ม ถึง ตี 2 ก็หมดไป รวมทั้งนิ้วแข็งหลังเพราะการที่ผมไม่ฝึกซ้อม และศึกษาต่อให้เป็นกิจวัตร ทำให้สิ่งที่ผมลงทุนศึกษาไป เหมือนสูญหายไป แม้อาจจะสามารถทบทวนได้ แต่ก็เสียเวลา แทนที่จะเดินหน้าเรียนรู้ของใหม่ๆ ผมต้องกลับมาปัดฝุ่นความรู้ตัวเอง

ซึ่งทำให้ผมอยากใช้เว็บ blog นี้เป็น เครื่องมือบันทึกการเรียนรู้ จากวันนี้ต่อไป แม้่จะเริ่มช้า ไปสัก 10 ปี แต่10ปีที่แล้ว ก็ยังไม่มีเทคโนโลยีแนวนี้ สรุปก็ พรุ่งนี้ยังมีสิ่งให้เรียนรู้ อีก ก็เริ่มจากวันนี้ก่อนเลยแล้วกัน ส่วนของเก่า ผมคงแยกไว้อีกที่


เว็บนี้ผมคงเก็บเขียนการเรียนแบบสรุปๆ ของผมแล้วกัน

ส่วนอะไรที่จะเขียนเป้นชิ้นเป้นอัน เป็นเรื่องเป็นราว ก็เชิญตามไปอ่านที่อื่นๆ ของผมแล้วกันนะครับ